วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2563


บรรณานุกรม เว็บไซต์ การเขียนบรรณานุกรม เว็บไซต์ไทย-อังกฤษ

การเขียนบรรณานุกรมเว็บไซต์กรณีไม่มีชื่อผู้แต่ง/ ปี พ.ศ.

ตัวอย่างภาษาอังกฤษดูบรรทัดด้านบนนะครับ (กรณีไม่มีชื่อผู้แต่ง)
ชื่อเรื่อง. (ปีที่เผยแพร่). [ออนไลน์]. ได้จาก: http://… [สืบค้นเมื่อ วันที่ เดือน ปี ที่ทำการสืบค้น].
ถ้าไม่ปรากฎปีที่พิมพ์ให้ใส่ (ม.ป.ป.) ย่อมาจากไม่ปรากฏปีที่พิมพ์

♦ หนังสือออนไลน์บนเว็บไซต์ ให้ลงรายละเอียดตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

ชื่อผู้แต่ง/บรรณารักษ์. (ปีที่พิมพ์) ชื่อเรื่อง. พิมพ์ครั้งที่_. [ออนไลน์]. สถานที่: สํานักพิมพ์.    ได้จาก: http://… [สืบค้นเมื่อ วันที่ เดือน ปีที่ทำการสืบค้น].
Auther. (Year of Publication) Title. Edition. [Online]. Place of publication: Publisher.  Available from: http://… [accessed Date of Access].
การเขียนบรรณานุกรม เว็บไซต์
♦ วารสารออนไลน์ ให้ลงรายละเอียดตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. [ออนไลน์]. ปีที่(ฉบับที่), เลขหน้า.    ได้จาก: http://… [สืบค้นเมื่อ วันที่ เดือน ปีที่ทำการสืบค้น].
Auther. (Year of Publication). tiltle of journal article. Title of journal. [Online].  Volume number(Issue number),  Page number of the article. Available from: http://…  [accessed Date of Access].
การเขียนบรรณานุกรม เว็บไซต์
♦ E-mail ให้ลงรายละเอียดตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
ชื่อผู้ส่ง. (E-mail Addressผู้ส่ง) (วัน เดือน ปีที่ส่ง) ชื่อเรื่อง. E-mail ถึง: ชื่อผู้รับ (E-mail Address  ผู้รับ).
Sender. (Sender,s E-mail Address) (Date of e-mail) Title. E-mail to: Recipient,s name  (Recipient,s name).
การเขียนบรรณานุกรม เว็บไซต์



หน่วยที่ 3   เพิ่มพูนความรู้หนังสือ
                  3.1 หนังสือและส่วนต่างๆของหนังสือ
                  3.2 การดูแลระวังระษาหนังสือ

ส่วนประกอบตอนต้น 

1. ใบหุ้มปก (Book Jacket)                 
         เป็นแผ่นกระดาษที่หุ้มปกหนังสือไว้อีกชั้นหนึ่ง อาจมีสีสวยงามหรือมีภาพประกอบบางภาพซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหาภายในเล่ม รวมถึงอาจมีข้อมูลที่สำคัญบางประการของหนังสือด้วย เช่นชื่อหนังสือชื่อผู้เขียน ประวัติโดยย่อของผู้เขียนตลอดจนบทวิจารณ์หนังสือเล่มนั้น ๆ

2. ปกนอก (Cover)
              
เป็นส่วนที่ยึดให้หนังสือคงรูปทรงแข็งแรงทนทานหยิบใช้ได้สะดวกซึ่งอาจทำด้วยกระดาษอ่อน หรือ กระดาษแข็ง บางเล่มปกมีลวดลายสวยงาม ข้อมูล ที่มักปรากฏอยู่ ในส่วนของปกนอกนี้ได้แก่ ชื่อหนังสือชื่อผู้เขียน ชื่อสำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ เป็นต้น

3. ใบยึดปก (End Papers)
              
เป็นกระดาษที่มีความเหนียวทนทานด้านหนึ่งผนึกติดกับ ปกนอกเพื่อทำให้หนังสือแน่นหนาขึ้น อีกด้านหนึ่งผนึกติดเป็นแผ่นเดียวกับ ใบรองปก ในหนังสือบางเล่มส่วนนี้อาจมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น แผนที่ แผนภูมิ หรือตารางต่าง ๆ

4. ใบรองปก (Fly Leaves)
              
อยู่ต่อจากใบยึดปก มีทั้งใบรองปกหน้าและปกหลัง ซึ่งส่วน ใหญ่มักเป็นกระดาษสีพื้นซึ่งไม่มีข้อความใด ๆ หนังสือปกอ่อนมักจะไม่มีใบรองปก

5. หน้าชื่อเรื่อง (Half Title Page)
               
อยู่ต่อจากใบรองปกใน หน้านี้จะมีชื่อหนังสือปรากฏอยู่ในกรณีที่เป็นหนังสือชุดจะพบชื่อชุดหนังสือ ปรากฏอยู่ในหน้านี้ด้วย

6. หน้าปกใน (Title Page)
              
เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะให้รายละเอียดต่าง ๆเกี่ยวกับหนังสือเช่น ชื่อหนังสือ ชื่อเรื่องย่อย ชื่อผู้เขียน ผู้แปล ผู้รวบรวม บรรณาธิการ ผู้เขียนภาพประกอบ ครั้งที่พิมพ์ ปีที่พิมพ์ สำนักพิมพ์ สถานที่พิมพ์ ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ใช้ในการจัดทำรายการทางบรรณานุกรมของหนังสือเล่มนั้น

7. หน้าลิขสิทธิ์ (Copyright Page)
              
อยู่ด้านหลังของหน้าปกใน แสดงข้อมูลเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ของหนังสือเล่มนั้น เช่น ผู้ถือลิขสิทธิ์ ครั้งที่จดลิขสิทธิ์ปีที่จดลิขสิทธิ์ เป็นต้น ในหนังสือบางเล่ม จะปรากฏเลข มาตรฐานสากลประจำหนังสือสากล(ISBN =International Standard Book Number)และเลขหมู่หนังสือไว้ด้วย

8. หน้าคำอุทิศ (Dedication Page)
              
อยู่ต่อจากหน้าลิขสิทธิ์ เป็นข้อเขียนของผู้เขียน เพื่ออุทิศความดีหรือคุณค่าของหนังสือเล่มนั้นให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น บุพการี อาจารย์ สามี ภรรยา บุตร ธิดา เป็นต้น

9. หน้าคำนำ (Preface)
              
ในหน้านี้เป็นข้อความที่แจ้งให้ทราบถึงขอบเขตของหนังสือ วิธีรวบรวมและเรียบเรียง เหตุผลในการเขียนหนังสือเล่มนั้น  ตลอดจนบอกถึงลักษณะพิเศษของหนังสือวิธีใช้ รวมถึงการกล่าวขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ ในการเขียนหรือจัดทำหนังสือนั้น สำหรับหนังสือภาษาไทยอาจใช้ อารัมภบท” “คำชี้แจงหรือ คำปรารภแทนคำนำซึ่งผู้เขียนอาจเขียนเองหรือให้ผู้อื่นเขียนก็ได้ ก่อนที่ผู้อ่าน จะอ่านเนื้อหาภายในหนังสือควรอ่านคำนำด้วยเพื่อช่วยให้ ทราบถึงวัตถุประสงค์และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ และได้รับ ประโยชน์จากหนังสืออย่างเต็มที่

10. หน้าประกาศคุณูปการ (Acknowledgement)
              
ในหน้านี้จะกล่าวขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการเรียบเรียงหนังสือเล่มนั้น หนังสือบางเล่มอาจเรียกว่า กิตติกรรมประกาศหรือบางเล่มอาจ ไม่ปรากฏหน้าดังกล่าวนี้เนื่องจากได้กล่าวไว้แล้วในหน้าคำนำ การกล่าวขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลือนี้ อาจเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน เพราะทำให้ทราบชื่อ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ที่ได้รับการกล่าวถึง

11. หน้าสารบัญ (Table of Content)
              
ในหน้านี้จะเป็นการลำดับหัวข้อเรื่องที่สำคัญของ หนังสือ ซึ่งอาจแบ่งเป็นภาค ตอน หรือบท พร้อมทั้ง ระบุหน้าที่เริ่มเรื่องนั้น ๆ ผู้อ่านจะได้เรื่องราวโดยสังเขป การเรียงลำดับเรื่อง และสามารถอ่านเรื่องราว ที่ต้องการ ได้อย่างรวดเร็ว

12. หน้าสารบัญภาพประกอบและสารบัญตาราง (Lisf of Illustration, List of Tables)
              
หนังสือบางเล่มมีภาพประกอบหรือตารางเป็นจำนวนมาก และเป็นส่วนที่มีความสำคัญในเนื้อเรื่องจึงได้จัดทำรายการภาพประกอบหรือตารางพร้อมระบบเลขหน้าที่ปรากฏไว้ เพื่อความสะดวกใน การค้นหา

เอกสารเพิ่มเติม http://e20soi.blogspot.com/p/blog-page_85.html

ประเภทของห้องสมุดและองค์ประกอบของห้องสมุด


หน่วยที่ 2  ค้นคว้าหาความรู้

                  2.1 วัสดุสารนิเทศห้องสมุด
                  2.2 ระบบการจัดเก็บวัสดุสารนิเทศห้องสมุด
                  2.3 การสืบค้นข้อมูลหนังสือ

ประเภทของห้องสมุด

ห้องสมุดแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
  1.  ห้องสมุดโรงเรียน  (School  Library)  คือ  ห้องสมุดที่จัดตั้งขึ้นภายในโรงเรียน  เพื่อให้ผู้เรียน  ครูผู้สอน  และบุคลากรในโรงเรียนนั้น ๆ ได้ศึกษาค้นคว้า
  2.   ห้องสมุดวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย  ( Collage University and  Library)  คือ ห้องสมุดที่จัดตั้งขึ้น และดำเนินการโดยวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น  หอสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  หอสมุดมหาวิทยาลัยรามคำแหง  ฯลฯ
  3.   ห้องสมุดเฉพาะ (Special  Library)  คือ ห้องสมุดที่จัดขึ้นโดยหน่วยงาน สถาบันหรือองค์กรต่าง ๆ ที่มีหน้าที่รวบรวมหนังสือ  และวัสดุการศึกษาเฉพาะในบางสาขาวิชา บางเรื่อง เช่น ห้องสมุดธนาคารแห่งประเทศไทย  ห้องสมุดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ฯลฯ
  4.   ห้องสมุดประชาชน  (Public  Library)  คือ ห้องสมุดที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการด้านหนังสือและวัสดุการศึกษาต่าง ๆ แก่ประชาชนทุกเพศ  ทุกวัย  และทุกระดับการศึกษาโดยไม่ต้องเสียค่าบำรุง
  5.   หอสมุดแห่งชาติ  (National  Library)  คือ ห้องสมุดที่ประเทศเป็นผู้จัด  เป็นห้องสมุดที่มี หน้าที่เก็บรวบรวมสิ่งพิมพ์ ที่พิมพ์ขึ้นภายในประเทศตามกฎหมาย

องค์ประกอบของห้องสมุด

ในการที่จะดำเนินงานห้องสมุดให้ประสพความสำเร็จนั้น ห้องสมุดต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
  1. ผู้บริหาร
ผู้บริหารเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการสนับสนุนการดำเนินงานห้องสมุดให้ผู้มีอำนาจพิจารณาให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงิน กำลังคนและกำลังใจการให้การสนับสนุนจะทำให้การดำเนินงานห้องสมุดบรรลุตามวัตถุประสงค์
  1. อาคารสถานที่
ห้องสมุดต้องมีสถานที่พอเพียงในการเก็บหนังสือและโสตทัศน์วัสดุอุปกรณ์ในการทำงานของเจ้าหน้าที่ และให้บริการแก่ผู้ใช้ สถานที่ห้องสมุดนั้นอาจเป็นอาคารส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคาร
  1.   ครุภัณฑ์
ครุภัณฑ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับห้องสมุดในการที่จะใช้เป็นที่เก็บหนังสือ สิ่งพิมพ์วัสดุต่าง ๆ และยังเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้
  1. วัสดุสารสนเทศ
ห้องสมุดจำเป็นจะต้องมีหนังสือ สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ  และโสตทัศน์วัสดุเพื่อสนองความต้องการแก่ผู้ใช้วัสดุสารสนเทศของห้องสมุดโดยทั่ว ๆ ไป จัดแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ  วัสดุตีพิมพ์  วัสดุไม่ตีพิมพ์ และวัสดุอิเล็กทรอนิกส์
  1. บุคลากร
ห้องสมุดจะต้องมีบรรณารักษ์ซึ่งมีพื้นความรู้ในวิชาบรรณารักษศาสตร์เป็นบรรณารักษ์และบุคลากรอื่น ๆ ร่วมดำเนินงานห้องสมุด
  1. เงินอุดหนุน
เงินเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดหาวัสดุสารสนเทศ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อดำเนินงานห้องสมุดบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

ความสำคัญของห้องสมุด


ความสำคัญของห้องสมุด

ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร (Information Age) ผู้ที่สนใจจะศึกษาค้นคว้าให้เป็นผู้รอบรู้ในวิทยาการเชี่ยวชาญในงานอาชีพ และทันสมัยต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องพึ่งพาห้องสมุดเป็นอย่างยิ่ง ห้องสมุดเป็นปัจจัยสำคัญสิ่งหนึ่งที่จะบ่งชี้ถึงความมีมาตรฐานด้านการศึกษา ของการศึกษาแห่งนั้น ๆ จึงพอสรุปความสำคัญของห้องสมุดได้ ดังนี้

1. ห้องสมุดเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของสถาบันการศึกษาที่ผู้ใช้สามารถศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่ต้องการได้ทุกสาขาวิชา
2. ห้องสมุดเป็นแหล่งที่ทุกคนสามารถเลือกศึกษาค้นคว้าได้โดยอิสระตามความสนใจของแต่ละบุคคล เป็นแหล่งภูมิปัญญาของสังคม อาจเป็นการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อให้รอบรู้เข้าใจยิ่งขึ้นในเนื้อหาวิชา หรือเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่ หรือเลือกอ่านสิ่งที่ตนเองสนใจ  โรเจอร์ เบคอน นักปราชญ์ชาวอังกฤษกล่าวไว้ว่า “การอ่านทำให้เป็นคนเต็มคน”
3. ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ คนเรานั้นหากมีเวลาว่างก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คุ้มค่าเวลา การใช้เวลาว่างของแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น บางคนชอบนั่งเฉย ๆ ชมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว บางคนชอบดูหนัง บางคนชอบฟังเพลง บางคนชอบคุย อีกหลายคนชอบเล่นเกม แต่การใช้เวลาว่างที่คุ้มค่าที่สุดอย่างหนึ่ง คือการอ่านหนังสือ หยิบหนังสือดี ๆ สักเล่มให้กับชีวิตอ่านแล้ว ทำให้ปัญญางอกงามเกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
4. ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้มีความรู้ทันสมัย ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เพราะผู้ใช้ห้องสมุดเป็นประจำจะเป็นผู้ที่รู้ข่าวความเคลื่อนไหวทั้งภายในและนอกประเทศ
5. ห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้มีนิสัยรักการอ่าน การค้นคว้า และใฝ่หาความรู้ด้วยตนเอง เพราะห้องสมุดเป็นแหล่งบริการข้อมูล ข่าวสาร จัดให้มีบริการช่วยการค้นคว้าและเสนอแนะการอ่าน ผู้ใช้จึงสามารถขยายขอบเขตการอ่าน การศึกษาค้นคว้าให้กว้างขวางออกไปได้มากขึ้น
6. ห้องสมุดเป็นสมบัติของส่วนรวม  ซึ่งผู้ใช้บริการจะต้องรับรู้กฎระเบียบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รับรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อส่วนรวม จึงเป็นการปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตยในตังบุคคลเป็นอย่างดี

ประโยชน์ของห้องสมุด

ห้องสมุดเป็นแหล่งที่จัดหา รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวบุคคลและสังคมในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. ด้านการเรียนการสอน
2. ด้านการค้นคว้าวิจัย เพื่อให้เกิดความรู้ใหม่
3. ด้านศิลปวัฒนธรรม (สะสมความคิด วัฒนธรรม มรดกของชาติ)
4. ด้านการดำรงชีวิต
5. ด้านเศรษฐกิจ  (ช่วยประหยัดในการหาความรู้ สร้างอาชีพให้คน)
6. ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

วัตถุประสงค์ของห้องสมุด

  1.   วัตถุประสงค์ของห้องสมุดทั่วไป
    1.1  เพื่อการศึกษา (Education)  ห้องสมุดเป็นแหล่งบริการการศึกษาด้วยตนเอง บริการได้ทุกเพศ  ทุกวัย  ไม่แบ่งชั้นวรรณะ หรือพื้นความรู้  เป็นตลาดวิชา
    1.2  เพื่อความรู้  (Information)  ห้องสมุดเป็นแหล่งที่ให้ความรู้  และข้อเท็จจริงของข่าว ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ทันต่อเหตุการณ์
    1.3  เพื่อการค้นคว้าวิจัย  (Research)  ห้องสมุดเป็นแหล่งช่วยให้ผู้อ่านที่สนใจในวิชาการแขนงใดแขนงหนึ่ง  สามารถค้นหาข้อมูลทางวิชาการใหม่ ๆ ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้าต่อไป
    1.4   เพื่อความจรรโลงใจ  (Inspiration)  วัสดุอุปกรณ์หนังสือในห้องสมุดช่วยให้ผู้ใช้บริการ เกิดความสุขใจ เกิดความซาบซึ้งและประทับใจวรรณกรรมสาขาต่าง ๆ ที่ผู้รู้เขียนขึ้น และนำข้อคิด คำคม  คติสอนใจต่าง ๆ ในวรรณกรรมนั้น ๆ มาปฏิบัติในทางที่ดี
    1.5  เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ (Recreation) มีการจัดบรรยากาศภายในห้องสมุดให้สวยงาม  เพื่อเป็นแหล่งพักใจให้คลายกังวล  มีหนังสือประเภทบันเทิงคดี  สารคดีท่องเที่ยว  เป็นต้น
  1.   วัตถุประสงค์ของห้องสมุดโรงเรียน
    2.1  เป็นศูนย์กลางการอ่าน  เพื่อเปิดโอกาสเชิญชวนให้สนใจและรักการอ่าน
    2.2  เป็นศูนย์กลางการค้นคว้า  ชักจูงให้เข้าใจในการใช้หนังสือ  และวิธีการค้นคว้าจากหนังสือ  ซีดี  ตลอดจนการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต  เพื่อประโยชน์ในการศึกษา
    2.3  เป็นศูนย์กลางฝึกวิจารณญาณในการอ่าน  และขยายขอบเขตของการอ่านให้กว้างขวางยิ่งขึ้น  แนะนำการอ่านให้กับผู้เรียนอย่างหลากหลาย และสม่ำเสมอจนสามารถวินิจฉัยหนังสือหรือมีวิจารณญาณ ในการอ่านมากขึ้นตามลำดับ
    2.4  เป็นศูนย์กลางแนะแนวการอ่าน  เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถเลือกอ่านได้ตรงตามความต้องการ  เพื่อการศึกษาค้นคว้า  เพื่อแก้ปัญหา  และเพื่อความบันเทิง
    2.5  เป็นศูนย์กลางวัสดุอุปกรณ์การจัดการเรียนรู้ต่าง ๆ  เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวก ในการเตรียมการจัดการเรียนรู้ของครูให้เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น  สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในการเรียนรู้และการ


หน่วยที่ 1 ขุมทรัพย์แห่งปัญญา

             1.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับห้องสมุด
                    1.2 แหล่งการเรียนรู้
                    1.3 ระเบียบมารยาทการใช้ห้องสมุด
                    1.4 การบริการและกิจกรรมห้องสมุด

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับห้องสมุด

ห้องสมุด เป็นศูนย์บริการสารสนเทศที่สำคัญมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และรู้จักกันดี มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีชื่อเรียกแตกต่างออกไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้บริการ และสิ่งที่ให้บริการ ณ
ที่นั้น ๆ เช่น หอสมุด สำนักหอสมุด สถาบันวิทยบริการ เป็นต้น

ความหมายของห้องสมุด

คำว่า “ห้องสมุด”  บัญญัติมาจากคำว่า  Library   มาจากภาษาละตินว่า Liberia  หมายถึง ที่เก็บหนังสือ โดยมีรากศัพท์เดิมว่า  “Liber”  ซึ่งหมายความว่า  หนังสือ
ห้องสมุด  หมายถึง สถานที่รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศเอาไว้ในรูปแบบต่าง ๆ  ทั้งที่เป็นวัสดุตีพิมพ์ วัสดุไม่ตีพิมพ์ วัสดุอิเล็กทรอนิกส์  เพื่อให้ผู้ใช้สืบค้นและเข้าถึงสารสนเทศได้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยมีการคัดเลือก จัดหาให้สอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจขอผู้ใช้ มีการจัดที่เป็นระบบโดยมีบรรณารักษ์วิชาชีพ ซึ่งมีความรู้ทางบรรณารักษศาสตร์ เป็นผู้บริหารและดำเนินการจัดให้อย่างมีระบบ